ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Spotify เกิดขึ้นได้อย่างไร ?



แอปพลิเคชั่น Spotify สร้างขึ้นภายใต้บริษัทชื่อ บริษัท สปอทติฟายเอบี จำกัด เป็นบริษัทเทคสตาร์ทอัพ (Tech Startup) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2008 กรุงสต็อล์กโฮล์ม ประเทศสวีเดน เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง Daniel Ek และ Martin Lorentzo ซึ่งเป็นนักเทคโนโลยีและผู้ประกอบการ (entrepreneur) เริ่มบริษัทสตาร์ทอัพดังกล่าวขึ้น จนกระทั่งกลายมาเป็นบริษัท music streaming บริษัทหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน 

ประวัติผู้ก่อตั้ง Spotify 

Daniel Ek ผู้ก่อตั้ง Spotify ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้หนึ่งที่มีอิทธิพลต่อวงการอุตสาหกรรมดนตรีอย่างมาก เกิดในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1983 เขาออกจากมหาวิทยาลัยและเริ่มการก่อตั้งครั้งแรกตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของเขาและทำให้เริ่มมีชื่อเสียง คือ การก่อตั้งบริษัทโฆษณา Adverigo และสามารถขายบริษัทได้เป็นเงินกว่า 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2003 
ต่อมา ในปี 2006 Daniel Ek ได้ร่วมมือกับ Martin Lorenzo เพื่อเริ่มพัฒนาแอปพลิเคชันที่จะทำให้การฟังเพลงเป็นสิ่งที่ง่าย และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ต่อศิลปิน เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญามีมาก จากการแพร่กระจายของไฟล์เพลง mp3 ในเว็บผิดกฏหมายซึ่งมีอยู่มากมาย จึงทำให้ทั้งสองตัดสินใจสร้างข่องทางการฟังดนตรีของตนเอง โดยคำว่า Spotify เกิดจากการที่ทั้งสองตะโกนชื่อที่จะนำมาใช้เป็นแอปพลิเคชัน โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นในบ้านของพวกเขา ซึ่งเกิดการฟังผิด จนเป็นคำว่า Spotify โดยในภายหลัง ทั้งสองได้ให้เหตุผลว่า Spotify เกิดจากการรวมคำว่า Spot กับคำว่า identify เข้าด้วยกัน จนกลายเป็นคำว่า spotify 


ปัจจุบัน Spotify มีเพลงประมาณ 20 ล้านเพลง เพิ่มขึ้นวันละ 20,000 เพลง ในปีก่อนได้มีการจ่ายเงินส่วนแบ่งให้ศิลปินกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีรายได้ทั้งหมด 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึงแม้ผลประกอบการจะยังขาดทุนอยู่ (ราว 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2012) แต่มูลค่าของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ราว 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการขายตลาดไปกว่า 55 พื้นที่ทั่วโลก
มีหลายครั้งที่ Daniel Ek ประสบกับความสิ้นหวัง ท้อถอยต่อการทำธุรกิจ และไม่อยากทำต่อ อย่างไรก็ดีเขามักจะปรึกษาปัญหากับ Co-founder ของเขา เช่น ในครั้งหนึ่งเขาเคยเจรจากับค่ายเพลงล้มเหลวในการนำเพลงมาไว้ในแอปพลิเคชัน เขาจึงได้ปรับทุกข์กับเพื่อนของเขา และได้ให้กำลังใจโดยการถามว่า “Do you believe in the product?” เขาจึงมีแรงที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป

แรงผลักดันที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมีทั้งสิ้น 4 อย่าง ประการแรก การทำในสิ่งที่เกิดผลกระทบต่อสังคม ทำให้โลกเปลี่ยนแปลง ในช่วงแรกตั้งแต่ธุรกิจประสบความสำเร็จ เขาให้สัมภาษณ์ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีทั่วไป เช่นใช้จ่ายอย่างที่ต้องการ ซื้อของแพง ใช้ สร้างบ้านหรู และใช้รถซูเปอร์คาร์ อย่างไรก็ดี เขาตระหนักได้ในภายหลังว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการที่แท้จริง สิ่งที่เขาต้องการ คือการสร้างผลกระทบบางอย่างต่อสังคม ประการที่สอง เขาจะทำในสิ่งที่เขามี passion ซึ่งก็คือเรื่องของดนตรีและเทคโนโลยีอย่างธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ ประการที่สาม อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายตลอดเวลา สภาพแวดล้อมดังกล่าวจะบีบบังคับให้ต้องคิดอะไรใหม่ๆ และสร้างสรรค์ มีประโยชน์ และทำให้กระตือรือร้น โดยเขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หากเขาได้เรียนรู้จากคนเก่ง ประการสุดท้าย สิ่งที่ทำต้องมีความยั่งยิน เขาเชื่อว่าธุรกิจของเขาจะยืนหยัดต่อไปได้ และยังคงสร้างผลกระทบต่อสังคมได้เรื่อย อย่างที่ได้สร้างผลกระทบคืนชีพให้อุตสาหกรรมดนตรีในปัจจุบัน 
ในแง่การบริหาร Daniel Ekk มีความเห็นว่า ไม่ควรย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ Silicon Valley เหมือนที่บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับไอทีส่วนใหญ่ แต่ตั้งเพียงสำนักงานย่อยเอาไว้เท่านั้น เพราะ เขามีความเห็นว่า คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่มักจะได้รับการเชื้อเชิญเข้าไปทำงานใน Silicon Valley หมดแล้ว ในขณะที่ในยุโรป เขาสามารถหาคนที่มีความสามารถได้มากมาย จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ Silicon Valley

นอกจากนี้ Daniel Ekk ยังให้ความสำคัญกับการออกสถาปตยกรรมของสำนักงาน จากความเชื่อที่ว่า “20% ของวัฒนธรรมองค์กร เกิดขึ้นจาก How you work and where you work” เขาจึงต้องการให้ที่ทำงานของเขามีวัฒนธรรมองค์กรที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหมู่พนักงาน โดยเขาจะจัดพื้นที่รับประทานอาหารไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อที่ว่าเมื่อพนักงานฝ่ายต่าง พักทานข้าว จะได้มีเวลาพบปะ พูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังมีการจัดปาร์ตี้สังสรรค์ สอนการเล่นกีตาร์ และพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย เกิดความผ่อนคลาย และนำไปสู่ความคิดในเชิงนวัตกรรม 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ข้อดีของ Spotify

SPOTIFY ดียังไง ทำไมถึงได้รับความนิยม ?? จุดเด่นของ Spotify เลยก็คือเรื่องของคุณภาพเสี ยงที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับมิวสิคสตรีมมิ่ งคู่แข่งอย่าง Apple Music หรือ Joox โดยการเล่นไฟล์เพลงของ Spotify จะเล่นคุณภาพเสียงระดับสูงที่  320 kbps มากกว่า Apple Music ที่ 256 kbps รวมถึงเพลย์ลิสต์ของ Spotify ที่มีให้เยอะแยะมากมายหลากห ลายสุดๆ เรียกได้ว่าตอบโจทย์ครบทุกร สนิยมของคอดนตรีแน่นอนค่ะ และอย่างที่เคยบอกไปก่อ นหน้านี้ว่า Spotify มีอัลกอลิธึ่มสุดแสนฉลาด ที่เมื่อเรายิ่งใช้บริการฟั งเพลงผ่าน Spotify ไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆเรียนรู้รสนิยม การฟังเพลงของเราและจัดหาเพ ลงตามสไตล์ของเรามาให้ฟังมา กขึ้น จนบางครั้งเราก็ยังแปลกใจเล ยค่ะว่าทำไมเดาถูกว่าเพลงนี้  จังหวะแบบนี้จะโดนใจเราชัวร ์ๆ รวมถึงยังมีฟีเจอร์ที่สามาร ถเชื่อมกับเพื่อนใน Facebook ของเราเพื่อกดติดตาม (Follow) เอาไว้คอยอัพเดตว่าตอนนี้เพื่ อนๆ เค้าฮิตฟังเพลงอะไรกันรวมถึ งแชร์ Playlist เพลงโปรดให้คนอื่นๆได้อีกด้ วยค่ะ ทาง Technobeatz ได้ทำการสัมภาษณ์นักเรียนรวมถึงนักศึกษา โดยจุดเด่นของ Spotify ที่ทำให้ คนชอบใช้งานแอปนี้ มีดัง...

Spotify ต่างกับ Aplicationอื่นอย่างไร ?

Spotify vs Apple Music vs JOOX อันไหนดี ? เอาล่ะค่ะ จากที่เราทราบข้อมูลของ Spotify กันไปบ้างแล้วเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีคำถามว่า แล้วมันดีกว่า ด้อยกว่ามิวสิคสตรีมมิ่งอัน อื่นยังไงบ้าง วันนี้เราจะลองสรุปง่ายๆ ให้ทุกคนเปรียบเทียบกันนะคะ  จะได้เลือกได้ว่ามิวสิคสตรี มมิ่งของใครโดนใจและตรงกับค วามต้องการของเรามากที่สุด เร่ิมกันที่ Spotify ก่อนเลยค่ะ โดยข้อดีอย่างแรกเลยคือเรื่ องของคุณภาพเสียง คุณภาพดีกว่ ามิวสิคสตรีมมิ่งอื่นๆ แน่นอนค่ะ มี Playlist ที่หลากหลายและ ผู้ใช้จริงหลายๆ ท่านถึงกับออกปากเลยว่าเป็น แอพฯที่จัดระบบ Playlist ได้ดีที่สุด มีระบบ Machine Learning ที่คอยติดตามพฤติกรรมว่าเรา ชอบหรือไม่ชอบเพลงแนวไหน โดยข้อเสียก็คงเป็นเรื่องขอ งโฆษณากวนใจ ถ้าคุณยังไม่สมัครแบบพรีเมี่ย ม ต่อกันที่ Apple Music จุดแข็งของ Apple อยู่ที่ตัวเพลงที่หลากหลาย และเพลง Exclusive ที่หาฟังที่ไหนไม่ได้ ที่มักจะทำร่วมกับศิลปินดัง ๆ เพื่อมอบให้กับลูกค้า Apple Music ฟังเท่านั้น แถมยังมีเพลงในระบบถึงกว่า 40 ล้านเพลง แต่น่าเสียดายที่คุณภาพเสีย งค่อนข้างด้อยกว่าคู่แข่งทั ้งสอง อันสุดท้ายคือ Joox มิวสิค...